วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ธรรมชาติ....บำบัด....


ธรรมชาติบำบัด... พลังรักษาจากธรรมชาติทั้งกายและใจ

ธรรมชาติบำบัด เป็นศาสตร์แห่งการเยียวยาที่ไม่เพียงแต่ดูแลร่างกาย แต่ยังลึกซึ้งไปถึงจิตใจของมนุษย์ ปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการ เรามีโอกาสศึกษาสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น จึงเริ่มมองเห็น “คุณค่า” และ “โทษ” ของธรรมชาติอย่างชัดเจน

เราเรียนรู้ที่จะนำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง และที่สำคัญคือ นำมาใช้เพื่อการบำบัดรักษาได้อย่างจริงจัง

เริ่มจากตัวเราเองก่อน... คือธรรมชาติบำบัดแบบง่ายที่สุด

ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน, โยคะ, ไท้เก๊ก

การหายใจอย่างมีสติ, นั่งสมาธิ

ลดความเครียดด้วยการฟังเสียงธรรมชาติ

เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พอเหมาะ พอดี

สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเล็กน้อย แต่กลับช่วยปรับสมดุลร่างกายและจิตใจได้อย่างมาก ถือเป็น “จุดเริ่มต้นของการเยียวยาด้วยธรรมชาติ” ที่ดีที่สุด

---

สารสกัดจากธรรมชาติ... พลังบำบัดที่รวดเร็วขึ้น

การนำธรรมชาติมาสกัด เพื่อให้ได้สารที่มีคุณสมบัติพิเศษในด้านการบำบัด เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ, สารฆ่าเชื้อ หรือสารให้ความชุ่มชื้น โดยสารเหล่านี้เมื่อใช้ถูกวิธี จะออกฤทธิ์ได้รวดเร็ว และเห็นผลจริง

แต่อย่าลืมว่า... “ธรรมชาติ” ก็ต้องรู้จักใช้ให้เป็นเช่นกัน

มีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อยว่า “ของจากธรรมชาติ = ปลอดภัยเสมอ”

ในความจริง บางสารธรรมชาติก็อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือแพ้ได้

ยิ่งในกรณีของ สารสกัด การสกัดบางชนิดต้องใช้สารสังเคราะห์เข้าช่วย

หากกรรมวิธีการผลิตไม่ถูกต้อง หรือควบคุมคุณภาพไม่ดี ผลที่ได้ก็อาจไม่ต่างจากโลชั่นธรรมดาทั่วไป

---

ความรับผิดชอบของผู้ผลิตคือหัวใจ

เพราะสารธรรมชาติบางชนิดออกฤทธิ์เฉพาะเมื่อละลายในน้ำ หรือบางตัวมีอายุการใช้งานจำกัด ผู้ผลิตจึงต้องมีความเชี่ยวชาญ รู้ลึกถึงคุณสมบัติของสาร และควบคุมทุกขั้นตอนการผลิตให้ได้มาตรฐาน

ถ้าผู้ผลิตมองแค่ยอดขาย ไม่ใส่ใจคุณภาพ

ผู้บริโภคก็อาจได้ใช้เพียง “สบู่กล่องสวย” หรือ “โลชั่นหอม” ที่ไม่ได้มีคุณสมบัติตามคำโฆษณาเลย

---

ฉะนั้น... ก่อนจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ

ศึกษาส่วนผสมให้ดี

อ่านฉลากให้ละเอียด

พิจารณาแบรนด์และผู้ผลิตว่าเชื่อถือได้หรือไม่

อย่าหลงเชื่อคำว่า “สารสกัดจากธรรมชาติ” โดยไม่มีการตรวจสอบ

สุขภาพของเรา ไม่ใช่แค่หน้าที่ของผลิตภัณฑ์ แต่ขึ้นอยู่กับวิธีคิดและการเลือกของเราด้วย


เพราะ “ธรรมชาติ” ไม่ได้อยู่ไกลเลย

เริ่มต้นจากตัวเรา เข้าใจธรรมชาติ แล้วปล่อยให้ธรรมชาติรักษาเรากลับคืน


> tassorganic.com

ความงามจากธรรมชาติ เริ่มได้...ที่ใจคุณ


วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

....หล่อโบราณ.....


รูปหล่อลอยองค์...ไม่ใช่แค่หน้าตาดี แต่ต้องมี "ยุค" ด้วยเหรอ!?

"พระเครื่อง" หรือ "รูปหล่อหลวงพ่อ" พอฟังคำนี้ หลายคนคงนึกถึง หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ขึ้นมาทันที... ใช่เลยครับ! แต่คราวนี้เราจะไม่พูดแบบตำรา หรือท่องจำตามเซียน แต่จะพาไปรู้จัก “มุมสงสัย” แบบคนธรรมดาๆ ที่เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ว่า...

“ที่เขาว่ากันว่า ไม่ถึงยุค...ดูยังไง?”

---

เริ่มต้นจาก “พิมพ์ทรง” ก่อนเลยละกัน...

เขาว่าแบ่งกันง่ายๆ เป็นสองพิมพ์ใหญ่:

พิมพ์ขี้ตา

พิมพ์นิยม

พิมพ์ขี้ตา – ใช้แม่พิมพ์แบบเบ้าประกบ

พิมพ์นิยม – ใช้แบบหล่อช่อ เบ้าทุบ

จะต่างกันตรง "วิธีหล่อ" นี่แหละครับ

เวลาส่องดูจะรู้เลยว่า พระหล่อแบบหุ่นขี้ผึ้งนั้น ทรงจะคล้ายกันมาก เพราะหล่อจากแม่พิมพ์เดียวกันหลายองค์

แต่พอทำเยอะๆ เข้า หุ่นขี้ผึ้งเองก็ต้องหล่อมาอีกทีเช่นกัน เพราะคงไม่มีใครมานั่งแกะทีละองค์หรอก จริงไหมครับ? ฮ่าๆๆ

---

ริ้วจีวรเบี้ยวๆ หัวโต หัวเล็ก...นี่บอกว่า “เก๊” ได้เลยไหม?

ไม่เสมอไปครับ... เพราะกระบวนการหล่อแบบโบราณไม่ได้เป๊ะขนาดเครื่องจักร

จะให้ทุกองค์เหมือนกันเป๊ะๆ คงเป็นไปไม่ได้

บางทีผิดนิดผิดหน่อย ก็อาจจะ “เก๊โดยอารมณ์” แต่ไม่ใช่ “เก๊โดยหลักฐาน”

---

พิมพ์ถูกอย่างเดียวไม่พอ...ต้องดู “เนื้อ” ด้วย

วลีทองของเซียนคือ

“พิมพ์ถูก...เนื้อใช่...ธรรมชาติมี”

คำถามคือ... แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า “เนื้อใช่?”

พอถามลึก เซียนตอบว่า... ทองผสม

ทองผสมคืออะไร? ทองคำผสม? มีจริงครับ! และนั่นแหละที่ทำให้มวลสารน่าสนใจ

---

ศัพท์เทพจากเซียน ที่ฟังแล้วงงๆ แต่จริงมาก!

เกล็ดกระดี่ = สนิมของเงิน ที่ขึ้นเป็นพรายๆ เรืองๆ

รากผักชี = สนิมฝังในเนื้อ จากโลหะหลอมไม่เสมอกัน

คราบยาแดง = คราบออกน้ำตาลอมส้ม จากทองคำผสม

ขี้เบ้า = เศษดินหล่อที่ติดมา เห็นชัดเจน

สนิมเขียว = ของทองแดงแน่นอน

ตุ่ม ติ่ง ฟองอากาศ เนื้อเกิน = ปรากฏการณ์ปกติของพระหล่อโบราณ

ถ้ามีกล้องขยายสัก 20x หรือ 40x จะเห็นชัดเลยครับ

ว่า “แต่งเก่า” กับ “เก่าจริง” มันฟ้องตัวมันเองชัดๆ

---

สังเกตของจริงได้...ไม่ต้องฟังใคร

ถ้าอยากฝึกสายตาให้แม่น แนะนำให้ไปดูพระพุทธรูปเก่าๆ ที่วัดใกล้บ้าน

ดูโลหะ ดูคราบ ดูรอยสัมผัส

จุดที่ถูกจับ จะเหมือนพระสภาพใช้

จุดที่ไม่โดน จะคล้ายพระผิวหิ้ง

อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ สนิมกับโลหะ มัน “รักกัน” และมันฟ้องอายุจริงๆ

---

บทสรุปของคนรู้น้อย...ที่ไม่ยอมงงคนเดียว!

การดูพระไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินถ้าเราไม่รีบร้อน

สังเกต บันทึก และศึกษาเพิ่ม อย่าเชื่อแต่คำพูดใคร

กล้องขยายดีๆ กับความขี้สงสัยของเรา...ก็เป็นเครื่องมือที่วิเศษสุดแล้วครับ!

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

....เหรียญพระเจ้าใหญ่วัดศรีษะแรด....


อยากเขียน...นาน...น๊าน...นานแล้ว...

แต่เพราะเป็นเพียง “คนรู้น้อย” ที่วันหนึ่งดันหลงเดินออกไปไกล...ไกลเสียจนไม่รู้จัก “พระบ้าน” ของตัวเอง

รู้เพียงแต่ว่าท่านคือพระประธานในอุโบสถของวัดหงษ์ — หรือวัดศรีษะแรด ที่ชาวบ้านบ้านผมเรียกกันติดปาก

สิบปีที่แล้ว...

ผมพลิกหนังสือ อมตะพระเครื่อง ของอาจารย์ป๋อง สุพรรณ เปิดไปเจอหน้าโชว์พระเครื่องแดนอีสาน

ภาพหนึ่งทำให้ใจร้อนวูบ...หน้าชา...

ไม่ใช่เพราะความเร้าใจของราคา หากแต่เป็นเพราะความเขลาของตัวเอง

พระในหนังสือ...คือ “พระเจ้าใหญ่”

พระบ้านผมเองแท้ ๆ

ผมกลับไล่ตามพระจากแดนไกล จนหลงลืม...ว่าสมบัติแท้อยู่ใกล้แค่บ้านเกิด

ผมหยิบโทรศัพท์ โทรหาพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ทุกคน หวังว่าท่านใดจะยังเก็บไว้

แต่คำตอบเหมือนกันหมด...

“ขายไปนานแล้ว”

ตอนนั้นเอง...ผมจึงเริ่มออกตามหา

ในที่สุดก็ได้พระพุทธรูปปั๊มองค์เล็กมาองค์หนึ่งจากลุงคนหนึ่งในหมู่บ้าน

ตอนเห็นครั้งแรกผมยังแอบสงสัย...มีแบบลอยองค์ด้วยหรือ?

ลุงตอบมั่นใจว่า “มี”

เป็นแบบเดียวกับเหรียญรุ่นแรก เพียงเปลี่ยนรูปแบบการสร้างให้สะดวกต่อการแขวนบูชา

ผมไม่ปักใจเชื่อง่าย ๆ เลยโทรถามเพื่อน เซียนพระแถวบ้าน

เสียงตอบกลับตรงกันหมด...

“มีแน่นอน”

ก็เลยต้องยอมรับ...ว่าโง่เองนะเรา อิอิ

---

ขออนุญาตเล่าถึง เหรียญรุ่นแรกพระเจ้าใหญ่วัดหงษ์ และ พระปั๊มลอยองค์ สักหน่อย

เพราะถึงจะไม่มีข้อมูลปรากฏแน่ชัด แต่ก็เป็นพระเครื่องที่ห่อหุ้มไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งศรัทธาและพุทธคุณ

ว่ากันว่า...เหรียญรุ่นแรกนี้สร้างราว พ.ศ. 2497

บางคนบอกว่าสร้างขึ้นเพื่อหารายได้บูรณะพระอุโบสถ บ้างก็ว่าเพื่อแจกจ่ายในงานปิดทองพระเจ้าใหญ่ ที่จัดต่อเนื่องมาร่วม 70 ปี

ใครที่เคยอยู่ร่วมยุคสร้าง ก็คงต้องอายุ 80 ปีขึ้นไปแล้ว

...ซึ่งหายากยิ่งกว่าพระ

จำนวนที่สร้างก็ยังเป็นปริศนา

บางแหล่งบอกว่าหลักพัน บางคนว่าไม่ถึงร้อย

แต่ในวงการ เห็นเปลี่ยนมือจริง ๆ ก็แค่ไม่กี่สิบองค์เท่านั้น

สายปลุกเสกก็มีสองความเชื่อ

สายหนึ่งเชื่อว่าเป็น หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต

อีกสายว่าเป็น หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

ทั้งสององค์นี้...ไม่ต้องพูดถึงความขลัง

แค่ชื่อ...ก็สะเทือนใจผู้ศรัทธาแล้ว

---

สิ่งหนึ่งที่น่าคิดคือ...

แม้ไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าใครสร้าง สร้างเมื่อใด หรือสร้างเพื่ออะไร

แต่ เหรียญพระเจ้าใหญ่ กลับได้รับการยอมรับอย่างสูงในหมู่นักสะสม

ราคาขยับขึ้นไม่หยุด

ผมได้พูดคุยกับเพื่อนมัธยมคนหนึ่ง “คุณเชษฐ์ ไธสง” ผู้มีความรักและศรัทธาในพระเจ้าใหญ่อย่างแนบแน่น

เขาบอกว่า...

ตอนนี้แค่จะ “ขอดู” เหรียญสภาพดี ๆ ยังแทบไม่ได้

ส่วนเหรียญที่มีการเปลี่ยนมือ มักเป็นสภาพ 80-90%

แต่ราคาก็แตะหลักหมื่นกลาง ๆ แล้ว


---

แล้วอะไร...ที่ทำให้เหรียญนี้มีคุณค่ามากนัก?

ผมขอตอบในแบบ “คนรู้น้อย” ว่า...

มันคือ “ปาฏิหาริย์” และ “ศรัทธา” ที่จับต้องได้

ผู้ครอบครองจำนวนมากเล่าตรงกันว่า

“แคล้วคลาด ปลอดภัย”

เป็นประสบการณ์ตรงที่เล่าต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

และไม่ใช่เพียงตำนานในหมู่บ้าน

แต่เป็นสิ่งที่ยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิตจริง

---

และเหนือสิ่งอื่นใด...

คือ “องค์พระเจ้าใหญ่” เอง

ที่เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวบุรีรัมย์

ไม่ว่าจะชาวบ้าน นักการเมือง หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

ต่างต้องมา “กล่าวคำปฏิญาณ” และ “ขอพร” ต่อหน้าท่าน

บางคนมาขอเรื่องงาน เรื่องความก้าวหน้า

บางคนมาขอเรื่องครอบครัว

แต่ที่เห็นบ่อยที่สุด...คือ “การสาบาน”

สาบานว่าจะเลิกอบายมุข

เลิกเหล้า เลิกการพนัน เลิกยา

หรือแม้แต่เลิกคบชู้ผิดประเวณี

หากใครละเมิดคำสาบาน...

เรื่องราวที่เกิดขึ้นตามมา มักไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ในอีกด้านหนึ่ง คนที่มาขอพรเรื่องบุตร

หลายคนเล่าว่า

“ฝันเห็นองค์พระเจ้าใหญ่”

และในฝันนั้น...ท่านยื่นของบางอย่างให้

ไม่นานหลังจากนั้น...พวกเขาก็สมหวัง

---

เรื่องราวเหล่านี้...ไม่มีในตำรา ไม่มีในพิพิธภัณฑ์

แต่มันอยู่ในหัวใจของคนที่ศรัทธา

แม้ เหรียญพระเจ้าใหญ่ จะไม่โด่งดังในระดับประเทศ

แต่มันคือหนึ่งใน “พระเครื่องแห่งอีสาน” ที่งดงาม เปี่ยมพุทธคุณ และศักดิ์สิทธิ์จนผู้คนต้องแสวงหา

ทุกวันนี้ของเก๊เริ่มมีบ้างประปราย ยังไม่มาก

แต่หากใครคิดจะหามาบูชา...

ควรถามผู้รู้ให้แน่ใจ

เพราะพระแท้...ไม่ใช่แค่ราคา

แต่มันคือ “ความเชื่อ” และ “ความศรัทธา” ที่เงินก็ซื้อไม่ได้

เครดิตภาพ: คุณเชษฐ์ ไธสง



วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หลวงปู่ผาง...ดงเค็ง..



...มีชื่อไม่อยากให้ปรากฏ
...มียศไม่อยากให้ลือชา
...มีวิชาแต่ไม่เคยทำให้ดูยาก

คำกล่าวนี้ คนเฒ่าคนแก่เล่าถึงพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่ง ด้วยเสียงเบา ๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยศรัทธา และถ้าเอ่ยนาม “หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต” แห่งวัดอุดมคงคาคีรีเขตต์ อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น คนฟังถึงกับตั้งใจฟัง เหมือนใจอยากเข้าเฝ้า

หลวงปู่ท่านไม่ใช่พระนักพูด
ไม่ใช่พระนักเทศน์แบบหวือหวา
แต่ท่านคือ “พระแท้” ที่ชาวอีสานนับถือหัวใจ ท่านสอนคนด้วยความเมตตา อยู่เรียบง่าย สมถะ แต่มีพลังแห่งศรัทธาที่ใครได้พบ ก็สัมผัสได้ทันทีว่า "ท่านไม่ธรรมดา"

แม้กระทั่งวัตถุมงคลของหลวงปู่ ก็ไม่ใช่ของที่สร้างเพื่อขาย...แต่สร้างเพื่อ “เตือนใจ” ว่าเราต้องอยู่ดี ทำดี และไม่ลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ผมเอง “คนรู้น้อย” ไม่ได้รู้เรื่องพระเครื่องลึกซึ้งอะไรนักหรอกครับ แต่ผมมีหลวงปู่ผางติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ห้อยเหรียญของท่านที่ออกจาก “วัดดงเค็ง” อ.ประทาย จ.นครราชสีมา ซึ่งถือว่าเป็นวัดที่หลวงปู่อุปถัมภ์อยู่เงียบ ๆ ท่านเมตตาหลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสที่นั่น ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ทำให้คนในย่านประทายกับคนขอนแก่น ต่างก็ผูกพันกับวัดดงเค็งไม่แพ้กัน

ย้อนกลับไปปี พ.ศ. 2514
วัดดงเค็งมีโครงการสร้างพระอุโบสถ เลยไปนิมนต์หลวงปู่ผางมาร่วมเป็นประธาน ทั้งงานบุญ ทั้งการสร้างวัตถุมงคล

เหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่ที่ออกวัดดงเค็งจึงถือกำเนิดขึ้นในปีนั้น เป็นเหรียญเนื้อทองแดง 20,000 เหรียญ, สัมฤทธิ์ 1,000 เหรียญ และเงินอีก 200 เหรียญ รวม 21,200 องค์ เพื่อหารายได้สร้างอุโบสถ

ว่ากันว่า...เหรียญยังไม่ทันครบงานก็แทบหมด
ศรัทธาชาวบ้านแรงเหลือเกิน จนต้องสร้างเพิ่มอีก 20,000 เหรียญภายในปีเดียวกัน

แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้นครับ

ในปี พ.ศ. 2517 มีการหล่อพระประธานขึ้นในโบสถ์ใหม่ วัดจึงจัดสร้างรูปเหมือนหลวงปู่ผาง “ขนาดเท่าองค์จริง” ขึ้น 2 องค์ องค์หนึ่งประดิษฐานไว้ที่วัดดงเค็ง อีกองค์ถวายกลับวัดอุดมคงคาคีรีเขตต์

นอกจากนี้ ยังมีเหรียญเนื้อเงิน 516 เหรียญ
รูปหล่อโบราณเนื้อสัมฤทธิ์อุดกริ่ง
รูปเหมือนอุ้มบาตรเนื้อทองแดงอีก 1,000 องค์
และพระผงว่านพุทธคุณแบบสี่เหลี่ยมอีก 84,000 องค์

ทุกอย่าง...หลวงปู่เมตตาปลุกเสกให้หมด

พระผงว่านบางส่วนเหลือ ทางวัดยังไม่ออกให้บูชา หลวงปู่ผางท่านบอกว่า “ให้นำไปเก็บไว้ใต้ฐานพระประธานก่อน” ท่านไม่ได้บอกว่าเพราะอะไร...แต่เพียงพูดว่า “ถึงเวลาค่อยเอาออกมา”

ใครจะไปคิดล่ะครับว่า อีก 20 กว่าปีให้หลัง วัดจะเจอน้ำท่วมใหญ่ อุโบสถเสียหายหนัก ต้องซ่อมแซม พอเปิดฐานพระออกมา...พระผงเหล่านั้นยังคงอยู่ครบ บางองค์มีคราบเหลืองเหมือนกรุเก่า ๆ ติดอยู่ สวยไปอีกแบบ สายพระผงชอบนักแล

ต่อมา พ.ศ. 2518 มีการจัดสร้างพระบูชาหน้าตัก 5 นิ้ว และพระผงว่านแบบกลม 22,518 องค์ ออกให้บูชาในงานผูกพัทธสีมา แล้วก็หมดอย่างรวดเร็ว

และที่สุดของที่สุด เหรียญอนามัย พ.ศ. 2519
เหรียญรูปไข่ ด้านหลังเป็นตราสัญลักษณ์สาธารณสุข ถือเป็นของแปลกที่คนรักสายหลวงปู่ต้องมีไว้ติดตัว

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือ
วัตถุมงคลที่หลวงปู่ผางปลุกเสกให้ “วัดดงเค็ง” อย่างแท้จริง

รุ่นไหนนอกเหนือจากนี้...เหรียญจิ๊กโก๋ใหญ่ เหรียญนักเลงโต หล่อทองเหลืองสารพัดแบบ...ที่ว่าออกวัดดงเค็ง“คนรู้น้อย” ไม่เคยเห็น ไม่เคยห้อย ไม่เคยพูดถึง เพราะ “ของแท้” นั้นมีเส้นสายของเวลา มีร่องรอยของศรัทธา และมีพยานในหมู่บ้าน

ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ
แต่ถ้าอยากรู้ให้หายข้องใจ...ให้ลองไปหา “เฮียตี๋ ดงเค็ง” จ้าวกรมตัวจริงของวงการพระหลวงปู่ผางสายดงเค็ง
ทุกรุ่น ทุกบล็อก ทุกเนื้อ เฮียแกมีหมด!

บางที...หลวงปู่ไม่ได้อยากให้เรามีพระไว้โชว์
แต่อยากให้เรา “มีพระไว้เตือนใจ”
และเรื่องราวทั้งหมดนี้...ขอเล่าไว้ให้ฟัง
จากหัวใจของ “คนรู้น้อย” ผู้ผูกพันกับท่านมาตั้งแต่ยังเด็ก


วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง....กับ..ความศรัทธาแบบแบ่งกลุ่ม


---

สมเด็จวัดระฆัง...แพงเพราะขลัง...รึขลังเพราะแพง..ทำไมใคร ๆ ก็อยากมีไว้ในครอบครอง?

(เรื่องเล่าจาก...คนรู้น้อย)

พระสมเด็จวัดระฆัง...

พระเครื่ององค์ขนาดแค่นิ้วโป้ง แต่ราคาใหญ่เท่ารถหรู

ไม่ว่าอยู่ในรังเซียน หรือในใจชาวบ้านปลายทุ่ง

ก็ล้วนมีเรื่องเล่า...ที่ทำให้พระองค์นี้ไม่เคย “ธรรมดา”

ใคร ๆ ก็อยากได้

แต่ไม่ใช่ใคร ๆ ก็ได้ง่าย ๆ

บางคนเก็บเงินครึ่งชีวิต ยังแค่ได้จับใบปลิวงานประกวด

บางคนมือเปล่า แต่มีบุญพาให้เจอในลังเก่าใต้ถุนบ้านคุณตา!

---

แล้วทำไม...สมเด็จวัดระฆัง ถึงได้กลายเป็นพระในตำนาน?

ว่ากันว่า...

“องค์นี้สิ! สมเด็จแท้ เนื้อจัด พิมพ์ถึง วิญญาณมี!”

ฟังแล้วเหมือนคำโฆษณาหนังไทยยุค VHS

แต่เชื่อเถอะครับ...ศรัทธามันมีพลังจริง ๆ

และก็เป็นศรัทธานี่แหละ ที่ค่อย ๆ สร้างตำนานขึ้นทีละชั้น ทีละเรื่อง

---

พอเริ่มสนใจ...คนรู้น้อยแบบผมก็ได้พบว่า

วงการนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว แต่มีหลาย “ค่ายศรัทธา”

แต่ละค่ายก็มีแนวคิดของตัวเอง ใครเรียนกับครูก็เชื่อตามครู

ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก...เพราะต่างก็นับถือในพระ เหมือนกัน


---

ค่ายตำรามาตรฐาน (แนวสายหลัก)

ค่ายนี้เน้นเป๊ะทุกจุด ชัดทุกมุม

เปิดพระปุ๊บมีคำอธิบายยาวกว่าเอกสารกรมศิลป์

ขีดนี้เรียกว่า “เส้นแซม”

เนื้อแบบนี้คือ “ผงใบลานแกร่ง”

บางคนบอก...ดูพระกับพี่เขา เหมือนนั่งเรียนวิชาชีวะ

เพราะต้องจำตั้งแต่โครงสร้างยันมวลสารในระดับเซลล์!

แต่ต้องยอมรับว่า...สายนี้คือเสาหลักของวงการ

ช่วยกรองพระแท้เก๊ เป็นที่พึ่งของคนหัดใหม่

และถ้าอยากเช่า-ปล่อยพระราคาเป็นล้าน...สายนี้ก็เป็นด่านแรกที่ต้องผ่าน


---

ค่ายอนุรักษ์สายวิทย์ (แนวลึก)


กลุ่มนี้เน้นหลักฐาน...พูดเรื่องพระเหมือนพูดเรื่องวัตถุโบราณ

บางคนถึงขั้นใช้กล้องจุลทรรศน์ เครื่อง X-ray

บางองค์มีใบรับรองตรวจคาร์บอน-14

(แต่ไม่รู้บดพระไปตรวจยังไง เพราะพระยังอยู่ครบองค์เป๊ะ...)

ฟังแล้วงงดีครับ...แต่น่าสนใจ

เหมาะกับคนสายวิทย์ สายพิพิธภัณฑ์

เพราะเขาไม่ได้มองแค่ความศรัทธา

แต่เชื่อว่าความรู้ก็ทำให้เราใกล้ “ของจริง” ได้มากขึ้น


---

ค่ายชาวบ้านเล่าเรื่อง (แนวบ้าน ๆ แต่มันส์)


สายนี้ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ

แต่มีหัวใจเต็มร้อย กับเรื่องเล่าที่ฟังแล้วขนลุก

“องค์นี้ได้มาจากคุณตา ใส่ติดตัวฝ่าควันระเบิดมาได้ไงไม่รู้”

“องค์นี้พี่ชายห้อยแล้วหลุดจากอุบัติเหตุแบบเหลือเชื่อ”

“ไม่รู้พิมพ์อะไร...แต่ตั้งแต่ได้มา ลูกไม่ดื้อเลย!”

สายนี้แหละ ที่ทำให้พระยังคงอยู่ในทุกบ้าน

ไม่ต้องรู้เยอะ แต่เชื่อมั่นแน่นอก

และมักจะพูดจบด้วยคำว่า “เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของเธอ แต่ของฉันอ่ะ...ดีจริง!”

---

สรุปแล้ว...

พระสมเด็จวัดระฆัง จะมีค่าแค่ไหน

ก็อยู่ที่ใจของคนบูชา ว่าเห็นคุณค่ามากแค่ไหน

บางคนเชื่อด้วยวิชา

บางคนศรัทธาด้วยปาฏิหาริย์

บางคนแค่เห็นแล้วใจสั่น...ก็รู้เลยว่า “ใช่”

---

แล้วท่านล่ะ...อยู่สายไหน?

ไม่ว่าจะสายไหน ขอแค่มีสติ ศรัทธา และไม่ลืมหลักธรรม

พระดีจะไม่ใช่แค่ของขลัง...

แต่จะกลายเป็น “เพื่อนเตือนใจ” ที่อยู่กับเราทุกย่างก้าว

อย่าปล่อยให้ความศรัทธาของคุณกลายเป็นเครื่องมือหากินของบางคน


เล่าสู่กันฟังแบบคนรู้น้อยครับ...อิอิ

ใครมีเรื่องเล่าพระสมเด็จแปลก ๆ แบ่งกันฟังมั่งนะ

เผื่อจะได้แรงศรัทธาเพิ่มขึ้นอีกนิด ก่อนจะเลื่อนฟีดต่อไป

-


วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

ทำไม...เรียกว่า...พระสมเด็จ..



“พระสมเด็จวัดระฆัง” กับที่มาแห่งนาม “จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง”

เรียบเรียงโดย คนรู้น้อย

เมื่อพูดถึงพระเครื่องที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในสังคมไทย
หนึ่งในชื่อแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจของนักสะสมและผู้ศรัทธาทั่วไปก็คือ
“พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม”
พระเครื่องเนื้อผงอันเลื่องชื่อ ที่สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
พระเถระผู้เปี่ยมเมตตา ปรีชาญาณ และเป็นที่เคารพบูชาอย่างสูง


แล้วทำไมจึงเรียก “พระสมเด็จ”?

เชื่อว่าหลายคนอาจเข้าใจว่า “พระสมเด็จ” คือชื่อพระรุ่น
แต่แท้จริงแล้ว...คำนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก
ในยุคที่สมเด็จโตยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ได้ตั้งชื่อพระที่ท่านสร้างว่า “สมเด็จ”
แต่ผู้คนในยุคนั้นจะเรียกอย่างง่าย ๆ ว่า
“พระพิมพ์” หรือ “พระเนื้อผง”

จนเมื่อสมเด็จโตได้รับการแต่งตั้งเป็น “สมเด็จพระพุฒาจารย์”
ผู้คนจึงเริ่มเรียกพระพิมพ์ของท่านว่า “พระพิมพ์สมเด็จ”
หมายถึง พระพิมพ์ที่สร้างโดยสมเด็จโต
ต่อมาเมื่อมีการเล่าต่อกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า
คำว่า “พระพิมพ์สมเด็จ” ก็ถูกย่อให้สั้นลงเหลือเพียง
“พระสมเด็จ” ซึ่งใช้เรียกกันติดปากมาจนถึงทุกวันนี้


เข้าใจให้ชัด — “พระสมเด็จ” เป็นชื่อเรียกที่สื่อถึง “ผู้สร้าง” มากกว่ารูปทรง

ในวงการพระเครื่องปัจจุบัน มักเข้าใจกันว่า
พระที่มีลักษณะ องค์พระปางสมาธิ ประทับนั่งบนฐานสามชั้นขึ้นไป รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ คือพระสมเด็จ
แต่ในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว คำว่า “สมเด็จ” สื่อถึง
“พระพิมพ์ที่สร้างโดยพระที่มีสมณศักดิ์ระดับสมเด็จ” เป็นหลัก

ยกตัวอย่างเช่น
หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องวัตถุมงคลเป็นอย่างยิ่ง
แม้พระพิมพ์ของท่านจะมีลักษณะคล้ายพระสมเด็จ
แต่ท่านกลับกล่าวไว้กับลูกศิษย์ว่า

“อย่าเรียกพระของอาตมาว่าพระสมเด็จ เพราะอาตมาเป็นแค่พระครู”

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความสำรวมถ่อมตนของครูบาอาจารย์ในอดีต
แม้ลูกศิษย์จะรักและเรียกกันติดปากว่า “สมเด็จหลวงพ่อแดง”
แต่ในเชิงตำแหน่งทางสงฆ์แล้ว ก็ไม่ใช่ “สมเด็จ” อย่างแท้จริง


แล้วทำไมพระสมเด็จวัดระฆัง จึงได้ชื่อว่าเป็น “จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง”?

คำถามนี้มีคำตอบได้หลายมุม ทั้งเชิงพุทธคุณ เชิงประวัติศาสตร์ และเชิงจิตวิญญาณ
เพราะพระสมเด็จวัดระฆัง...

  • สร้างโดย พระเกจิผู้ทรงภูมิธรรม ที่ได้รับความเคารพสูงสุดในยุค
  • เป็นพระที่มี พุทธลักษณะงดงาม เรียบง่าย แต่ทรงพลัง
  • ใช้ มวลสารศักดิ์สิทธิ์ ที่มีส่วนผสมของผงเก่าหลายชนิด ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาของสมเด็จโตเอง
  • มี ประสบการณ์เล่าขาน จากผู้บูชาในทุกยุคสมัย
  • เป็นพระที่มีจำนวนจำกัด และ แท้จริงนั้นพบเห็นได้ยากมาก
  • จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นพระที่ “อยู่เหนือพระเครื่องทั้งปวง”

ข้อสังเกตสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษา

  • ไม่ใช่ทุก “พระพิมพ์ทรงสมเด็จ” จะเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง
  • การพิจารณาแท้-เก๊ ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจลึกซึ้ง
  • แหล่งข้อมูลมีหลากหลาย ทั้งแนวสายวิชาการ สายอนุรักษ์ สายประสบการณ์
  • คำว่า “ถูกพิมพ์” “ถูกเนื้อ” เป็นคำเฉพาะทางที่ควรศึกษาอย่างถ่องแท้
  • การเรียกชื่อพระ อาจสะท้อน “เจตนา” ของผู้ศรัทธามากกว่าความถูกต้องเชิงตำแหน่งเสมอ

สรุป...เรียกพระว่าอะไร สำคัญแค่ไหน?

การเรียกพระพิมพ์ว่า “สมเด็จ” อาจไม่ใช่ประเด็นหลัก
สิ่งสำคัญกว่าคือ ความเข้าใจที่แท้จริง
ทั้งในเรื่องของประวัติผู้สร้าง พุทธศิลป์ มวลสาร และเจตนาในการสร้าง

เพราะไม่ว่าท่านจะเรียกพระว่าอะไร
สุดท้าย...ศรัทธาที่ตั้งมั่นในใจผู้บูชา
ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญเหนือชื่อเรียกทั้งปวง


เล่าสู่กันฟังแบบคนรู้น้อยครับ
หากท่านผู้อ่านอยากศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติม
อาจลองหาข้อมูลเรื่อง...

  • ประเภท “ผงวิเศษ” ที่สมเด็จโตใช้ในการสร้างพระ
  • รูปแบบพิมพ์ต่าง ๆ ของพระสมเด็จวัดระฆัง
  • วิธีพิจารณาพระแท้ในแง่วิทยาศาสตร์ (เช่น การถ่ายภาพจุลทรรศน์ หรือคาร์บอน-14)
  • หรือแม้แต่เรื่องเล่าประสบการณ์จากผู้บูชาในอดีต

เพื่อจะได้เข้าใจ...ว่าเหตุใด
“พระพิมพ์เล็ก ๆ องค์หนึ่ง”
จึงถูกขนานนามว่า...
“จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง” อย่างไม่มีข้อกังขา

        #ภาพไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

รุ่นนี้กูสร้างเอง.....พระเทพวิทยาคม...



“รุ่นนี้...กูสร้างเอง” — บันทึกความฝันของหลวงพ่อคูณ

ในบรรดาวัดวาอารามนับหมื่นทั่วประเทศ
มีเพียงไม่กี่แห่งที่ถูกจารึกลงในหัวใจของคนไทยทั้งชาติ
และหนึ่งในนั้น...คือ “วัดบ้านไร่”

และผู้ที่ทำให้วัดบ้านไร่ไม่ใช่แค่เพียงสถานที่
แต่กลายเป็น “ศูนย์กลางแห่งเมตตาและการให้”
คือพระภิกษุผู้หนึ่ง ผู้ถือศีลเคร่งแต่พูดจากันเอง ผู้มีวาจาตรงไปตรงมาแต่เต็มไปด้วยเมตตา
ผู้ไม่เคยยึดติดในลาภยศ...แต่ยึดมั่นใน “การให้”

คนนั้นชื่อ...
หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ


ชีวิตของผู้ให้...ไม่มีคำว่า “เหนื่อย”

ท่านเกิดในครอบครัวยากจน ไม่ได้เรียนหนังสือสูง
แต่เลือกทางธรรมตั้งแต่ยังเด็ก เพราะอยาก “เป็นคนดี” และ “ให้คนอื่นมีความสุข”
จากเด็กชายชาวไร่ กลายมาเป็นพระผู้เปลี่ยนทั้งหมู่บ้าน ให้เป็นแหล่งแห่งคุณธรรม

คำสอนของท่านสั้น เรียบง่าย ฟังง่าย...แต่เปลี่ยนใจคนได้ทั้งชีวิต

“อย่าเอาเปรียบคนอื่น”
“ให้ทำดีไว้”
“เงินมันไม่ใช่ของกู...มันเป็นของคนที่ให้มาเพื่อทำความดี”


ฝันหนึ่งที่ท่านเฝ้าคิด...คือ “ฝายปันน้ำ”

น้ำ...อาจเป็นแค่ของธรรมดาในเมืองใหญ่
แต่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างชัยภูมิและโคราช
น้ำคือ “ชีวิต”

หลวงพ่อคูณเฝ้ามองเห็นชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องน้ำมานาน
จนวันหนึ่ง...ท่านบอกกับลูกศิษย์ว่า

“กูอยากสร้างฝาย...ให้คนได้มีน้ำใช้”
“จะได้ทำนา ทำไร่ได้อยู่ดีมีสุข”

มันเป็นโครงการใหญ่ — ฝายปันน้ำจากเขื่อนลำคันชู จังหวัดชัยภูมิ
ส่งต่อมายังอ่างเก็บน้ำวัดบ้านไร่
ระยะทางกว่า 28 กิโลเมตร งบประมาณกว่า 150 ล้านบาท

และแม้จะเป็นช่วงปลายของชีวิต
แม้ร่างกายจะอ่อนล้า
แม้หัวใจจะเคยผ่านการผ่าตัดใหญ่...

แต่หลวงพ่อคูณก็ “ไม่หยุด” ความฝันของท่าน


“รุ่นมหามงคล” — รุ่นเดียวที่หลวงพ่อขอสร้างด้วยตัวเอง

ปี 2557 หลวงพ่อคูณได้กล่าวกับศิษยานุศิษย์ว่า

“รุ่นนี้กูสร้างเอง”

ไม่ใช่เพราะอยากออกวัตถุมงคล
แต่เพราะ...อยากให้คนที่บูชา ได้ร่วมบุญในการสร้างฝายครั้งนี้ด้วย

นี่จึงเป็น
วัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่ท่านมีดำริสร้างเองจริงๆ
และท่านได้ทำพิธีอธิษฐานจิตด้วยตัวเอง

มันไม่ใช่แค่พระเครื่อง
แต่มันคือ “คำสัญญาที่ทำให้เป็นจริง”
คือ ฝายปันน้ำ...ที่เกิดขึ้นจริง


จากความฝัน สู่ความจริง...สู่ตำนานของผู้ให้

หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อคูณก็ละสังขาร
แต่ฝายปันน้ำนั้นยังคงอยู่
พระรุ่น “มหามงคล” นั้นยังคงอยู่
และคำสอนของท่าน...ก็ยังอยู่ในใจคนไทยทุกคน

“สำหรับกูพอแล้ว...”
คำพูดสั้น ๆ แต่กินใจ
มันคือคำประกาศของคนที่ให้ชีวิตทั้งชีวิตแก่แผ่นดิน


และถ้าคุณถามว่า...จะบูชาหลวงพ่อคูณอย่างไรให้ดีที่สุด?

คำตอบอาจไม่ใช่แค่การแขวนพระหรือสะสมวัตถุมงคล
แต่อาจเป็นเพียงแค่...

ยิ้มให้คนข้างๆ
ไม่เอาเปรียบใคร
และทำความดี...เท่าที่เราทำได้

เท่านี้เอง...ก็พอจะพูดได้ว่า
“เรามีหลวงพ่อคูณ อยู่ในใจ”

ลูกเทพ...อิทธิฤทธิ์...หรือ..แค่กระแสสังคม..



ลูกเทพ...ตุ๊กตาเทวะ หรือกระแสเทรนด์? คนรู้น้อยคันปากขอเล่าจั่กหน่อย

ช่วงนี้มีข่าวให้ได้ “คันมือคันปาก” อีกแล้วครับท่าน
อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตุ๊กตาขึ้นเครื่องบิน...เดินทางไปต่างจังหวัด...มีเสื้อผ้าแบรนด์เนม มีอาหารจานโปรด
โอ้โห...ลูกเทพกลับมาแล้ว!

ว่าแล้วคนรู้น้อยก็ขอเล่าจากความรู้เท่าที่มี เผื่อใครยังไม่ทันได้ติดตามจะได้ “อ๋อ” กันถ้วนหน้า


จุดเริ่มต้นของ “ลูกเทพ”

ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2558 กระแสลูกเทพเริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อหมอดูชื่อดังระดับประเทศรายหนึ่ง
เล่าว่า...ตนเองได้ยินเสียงจากตุ๊กตายางทางกระแสจิต
ตุ๊กตาบอกว่า “อยากไปอยู่ด้วย”
หมอดูจึงรับกลับบ้าน พออยู่ด้วยกัน...เงินทองก็เริ่มไหลมาเทมา

จากตุ๊กตายางธรรมดา กลายเป็น “ลูกเทพ”
และเมื่อหมอดูนำไปให้เกจิย์ช่วยปลุกเสก...ก็ยิ่งดังขึ้นอีก
ในหมู่ดารา เซเลบ คนมีชื่อเสียง ต่างพากันเปิดร้าน ขาย-บูชา-อุปถัมภ์ลูกเทพกันใหญ่

ช่วงนั้นกระแสดีมาก จนถึงขั้นมี “เพจโรงเรียนลูกเทพ”
มีเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่น อาหารครบชุด

แต่พอกระแสแรงไปหน่อย...ก็มีเกจิย์สายธรรมะท่านหนึ่งออกมาเตือนเบาๆ ว่า
ควรใช้สติ พิจารณาให้รอบคอบ
กระแสลูกเทพเลยเงียบหายไปพักใหญ่


ลูกเทพขึ้นเครื่องบิน...หืม!?

จนกระทั่งต้นปี 2559 มีสื่อรายงานข่าว
ลูกเทพนั่งเครื่องบิน
โดยซื้อตั๋วเป็นที่นั่งเฉพาะให้นั่งข้างเจ้าของกันเลยทีเดียว
เท่านั้นแหละครับ...ลูกเทพคืนชีพกลับมาอีกครั้ง!
คราวนี้แรงกว่าเดิม พร้อมแพ็คเกจ “เลี้ยงครบสูตร”
เสื้อผ้าหลักร้อย ของเล่นหลักพัน ราคาตัวละหลายหมื่นถึงหลักแสน
บางคนซื้อมาปุ๊บ รีบนำไปให้เกจิย์ปลุกเสกเสริมพลังทันที


คำถามในใจคนรู้น้อย...นี่คืออะไรแน่?

ในมุมของคนรู้น้อยแบบผม ก็ได้แต่นั่งคิดว่า...

ลูกเทพนี่คืออะไรกันแน่?
ตุ๊กตายางลงยันต์...ปลุกเสกแล้ว “พูดได้” คุยกับเจ้าของรู้เรื่อง?
บางรายถึงขั้นบอกว่า ลูกเทพบอกเลขให้ ถูกหวยจริง!

แต่พอหันมามอง “วัตถุมงคล” จากครูบาอาจารย์
ท่านสร้างโดยอาศัยมวลสารศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมอันเข้มขลัง
หาฤกษ์ยาม สวดมนต์อธิษฐานจิต บำเพ็ญภาวนา
บางรุ่นใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะปลุกเสกเสร็จ
ยังไม่มีใครเคยบอกเลยว่า “พระคุยได้” กับเจ้าของ

แล้วแบบนี้...เราควรเข้าใจเรื่องลูกเทพยังไงดี?


พุทธธรรมมีทางสว่างให้คิด

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
“อย่าเพิ่งเชื่อ...จนกว่าจะพิจารณาแล้วด้วยปัญญา”

หลักธรรมที่เรียกว่า กาลามสูตร มีอยู่ 10 ข้อ
เตือนให้เราพิจารณาให้รอบคอบ ไม่หลงเชื่อตามคำบอก
ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ หรือสิ่งลี้ลับใดๆ ก็ตาม
เราต้องใช้เหตุผลและใจที่สงบพินิจให้ดี

มิฉะนั้นแล้ว...เราอาจจะ
เสียเวลา
เสียทรัพย์
เสียความรู้สึก
และสุดท้ายอาจ “เสียศรัทธา” ไปโดยไม่รู้ตัว


ฝากถึง...ร่างทรง องค์เทพทั้งหลาย

คนรู้น้อยได้แต่อมยิ้มเบาๆ
เพราะยุคนี้...บางคนเขาเลี้ยงลูกเทพแล้ว “คุยกันรู้เรื่อง”
พูดกันเหมือนพี่น้อง แนะนำให้ลงทุน ชี้ทางรวย

แล้วแบบนี้...
องค์เทพจริงๆ จะทำอย่างไร?
จะสื่อสารผ่านใครดี? เพราะสื่อใหม่มาแรงเหลือเกิน
คนรู้น้อยไม่กล้าตอบ...ได้แต่ “เอ็นดูอยู่ในใจ” พร้อมอุทานเบาๆ ว่า...

“งึดหลาย”...อิอิ

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

พระ......บ้านนอก.....


---

“พระบ้านนอก” ไม่ใช่คำดูแคลน
แต่คือคำที่คนรู้น้อยอยากใช้ เรียก “พระดี” ที่อยู่ห่างไกล
ไม่ใกล้เมือง ไม่ใกล้กระแส แต่ใกล้ใจชาวบ้าน...อย่างแท้จริง

พระเครื่องของท่าน...
ไม่มีพิธีใหญ่โต ไม่มีพิธีกรรมอลังการ
ไม่มีเนื้อพิเศษ ไม่มีเลขสวย
ไม่มีชุดกรรมการ ไม่มีรุ่นลิมิเต็ด
มีแต่ “ใจ” กับ “ศรัทธา”

พระบางรูปแจกฟรี...
บางรูปขอบูชาแค่ 20 บาท
ไม่ใช่เพราะไม่มีค่า
แต่เพราะท่าน “ไม่ตั้งราคาให้ความศรัทธา”

---
อย่างเหรียญรุ่นแรกของ “หลวงปู่เพชร”
พระครูสุธรรมวัชรคุณ วัดศรีสุธรรม อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์
วัดเล็กๆ ที่ใช้เวลา 20 ปีในการสร้างอุโบสถ
หลวงปู่สร้างเหรียญนี้ในวาระฉลองอุโบสถ ปี 2549

30,000 เหรียญออกให้บูชาเพียง 20 บาท
ไม่ใช่ราคาที่สะท้อน “มูลค่า”
แต่คือราคาที่สะท้อน “เมตตา”

เหรียญไม่ได้หมดในวันงาน
แต่หมดในสองปีให้หลัง
หมดเพราะเสียงศรัทธาที่กระจายไปจากปากคนหนึ่ง...สู่ใจอีกคนหนึ่ง

---

ทุกคำบอกต่อ ไม่ได้มาจากการตลาด
แต่มาจาก “ประสบการณ์” และ “ความเชื่อมั่นในความดี”
ไม่ใช่ความขลังเพราะใครรับรอง
แต่ขลังจากความผูกพันที่ชาวบ้านมีต่อหลวงปู่
จากความศรัทธาที่ได้เห็นท่านสร้างวัดด้วยมือ
จากความรู้สึกว่า...นี่คือพระที่เรารักและไว้ใจได้

---

วัตถุมงคลของท่านอาจไม่ดังในโลกออนไลน์
อาจไม่มีรีวิว ไม่มีราคาในสนาม
แต่มีคุณค่าในใจของคนที่ได้ไปบูชา
ไม่ใช่แค่กันภัย...แต่กันใจให้ยังอยู่ในความดี

และนี่แหละ...
คือ “พระบ้านนอก” ที่คนรู้น้อย...ขอยกมือไหว้ด้วยความเคารพ


---

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

ศรัทธา...ที่มีมูลค่า


ศรัทธา...ที่มีมูลค่า

ในยุคปัจจุบัน พระเครื่องและวัตถุมงคลกลายเป็นสิ่งที่มี "ราคา" และ "มูลค่า" สูงลิ่ว ชนิดที่บางองค์ราคาขยับถึงหลักล้าน หลักสิบล้านก็มี ถามว่าทำไมถึงแพง? คนรู้น้อยก็ขอลองถอดรหัสแบบบ้าน ๆ ให้ฟัง...มูลค่ามันมาจาก 3 อย่างหลัก ๆ คือ ชื่อเสียงของผู้ปลุกเสก, จำนวนการสร้าง, และประสบการณ์ที่เล่าขานกันต่อ ๆ มา บวกกับ “ความศรัทธา” ที่เติมไฟให้ราคาพุ่งทะยานขึ้นไป

แต่โลกทุกวันนี้มันซับซ้อนกว่าเดิมมาก... ความศรัทธาที่เคยบริสุทธิ์ เริ่มถูกแปรรูป...กลายเป็น "ธุรกิจ"

บางครั้งพระไม่ได้สร้างวัตถุมงคล...แต่นายทุนเป็นคน “สร้างพระ”

ศรัทธาเริ่มถูกวางแผนการตลาดตั้งแต่ต้น มีผู้จัด ตั้งเป้าหมาย เตรียมเนื้อหา เตรียมพิธี เตรียมคนเชียร์ เตรียมกลุ่มเป้าหมาย และเตรียมกำไร... ทุกอย่างถูกคำนวณเหมือนการเปิดตัวสินค้าใหม่ในวงการใดวงการหนึ่ง แถมยังมีโปรโมชั่น คำเชิญชวน คำรับประกัน พร้อมแนบ “ข่าวดี” จากลูกศิษย์ที่ “โชคดี” หลังได้วัตถุมงคลไปไม่นาน

สุดท้าย...ศรัทธากลายเป็นกลยุทธ์

แม้พิธีจะยิ่งใหญ่ มีเกจิย์ร่วมปลุกเสกหลายองค์ แต่หลังม่านอาจมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร? สร้างเพื่อบูรณะวัด หรือเพื่อคืนทุนไวและมีกำไรมากกว่าสิบล้าน?

ถามว่า...ผิดไหม? ก็ไม่เชิง เพราะบางวัดอาจไม่มีทุนพอจัดงานเอง จึงต้องพึ่งนายทุน แต่สิ่งที่ควรถามต่อคือ ผู้ร่วมศรัทธาได้พิจารณาเพียงพอหรือยัง?

วัตถุมงคลของแท้ ใช่ต้องแพงทุกองค์?

บางองค์ที่แจกฟรีจากพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในวัดห่างไกล...ไม่มีข่าว ไม่มีเพจ ไม่มีเซียนมาเชียร์ กลับศักดิ์สิทธิ์อย่างเหลือเชื่อเพราะเกิดจากเจตนาบริสุทธิ์ของผู้สร้าง บางครั้ง “พุทธคุณ” ไม่ได้อยู่ในแสงแฟลช หรือแผ่นโฆษณา...แต่อยู่ในใจของผู้สร้างและผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง

อย่าให้ความโลภ บดบังสายตา

อย่าให้ความเชื่อแบบไม่พิจารณา กลายเป็นเหยื่อ

อย่าให้ “ศรัทธา” ถูกนำไปใช้แบบผิดทาง

ก่อนจะบูชาวัตถุมงคลอะไร ลองถามใจตัวเองสักนิดว่า

เรากำลังศรัทธา...หรือกำลังตามกระแส?

เราต้องการพุทธคุณ...หรือหวังผลกำไร?

เรากำลังบูชา...หรือกำลังซื้อขายความฝัน?

จำไว้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องเสียงดัง

แต่ความศรัทธาที่แท้จริง...จะดังก้องในใจเสมอ



---